การเดินทางที่ชื่อ อะทริปอุทัย

        เมื่ออาทิตย์ก่อนได้มีโอกาสไปทริปที่พี่ก้อง ทรงกลด บางยี่ขันจัดขึ้น โดยมีอาจารย์ยงยุทธ เป็นผู้นำเที่ยว นี่เป็นทริปแรกที่ผมได้เข้าร่วม หลังจากได้มีโอกาสไปฟังเสวนาวิชาอะไรมา 3 หัวข้อ ความรู้สึกอยากมีส่วนร่วมในการเดินทางพร้อมกับอาจารย์ยงยุทธเกิดขึ้นหลังจากที่ผมได้รับฟังแนวคิด และทัศนคติของอาจารย์ แล้วรู้สึกเลื่อมใส อยากลองเดินทางกับอาจารย์ดูสักครั้ง
        เป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้คืออะไร เป็นคำถามที่อาจารย์ถามขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนที่ร่วมทริปมีโอกาสได้ตอบระหว่างนั่งรถทัวร์มุ่งหน้าสู่อุทัยธานี หลายๆคนมีเป้าหมายคล้ายๆกันคือ อยากไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมืองอุทัยธานี มีบ้างที่บอกว่าอยากไปหาอะไรแปลกใหม่ แต่รวมๆแล้วผมว่าส่วนใหญ่คงอยากเดินทางร่วมกับอาจารย์เหมือนผม 
        จากกรุงเทพถึงอุทัยธานีใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ไม่ไกล้และไม่ไกลจนเกินไป 2 ชั่วโมงบนรถนั้นก็ได้ฟังอาจารย์เล่าให้ฟังถึงความเป็นมาของเมืองอุทัยธานีคร่าวๆ และฟังพี่นัท เล่าเรื่องความเป็นมาของราชวงศ์จักรีให้ฟัง น่าสนใจมาก รู้สึกว่ามีหลายเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทยที่ผมไม่เคยรู้...
เฝ้าดูพระอาทิตย์ตกดิน จากยอดเขาสะแกกรัง
         การเดินทางกับอาจารย์ยงยุทธทำให้ผมรู้สึกว่า เราไม่จำเป็นต้องไปที่ไหนไกลเลย ในประเทศของเรามีอะไรให้เรียนรู้เยอะแยะ เพียงแต่เราต้องเที่ยวให้เป็น ไปศึกษาที่ๆเราไป ลองคุยกับต้นไม้ ทักทายสิ่งก่อสร้างดู ว่ามันมีอะไรจะบอกเราบ้าง ผมรู้สึกว่ารูปถ่ายของผมมีความหมายขึ้นเยอะเลย หลังจากได้ไปเที่ยวกับอาจารย์ และมีแรงบันดาลอยากไปเที่ยวมากขึ้นเยอะ อาจารย์บอกว่า "เที่ยวจนเงินหมด ดีกว่ามีเงินแล้วอดเที่ยว"
ตื่นเช้ามาดูดาว 
        ผมเป็นคนชอบดูดาว แต่ดูไม่เป็นนะครับ แค่ชอบดูเฉยๆ เคยฝึกดูอยู่สองสามครั้ง ก็พอจะดูเป็นขึ้นมานิดหน่อย แต่ของแบบนี้นานเข้าก็ลืมเลือนหายไปหมด ตอนนี้เหลือแค่กลุ่มดาวนายพรานเท่านั้นที่ผมรู้จัก ^^ ไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนกันรึเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าดาวนั้นยิ่งดูมันยิ่งมากขึ้น ยิ่งเรามองท้องฟ้านานเท่าไหร่ เราก็จะเห็นดาวต่างๆโผล่มามากขึ้นเท่านั้น อันนี้เป็นสิ่งที่ค้นพบเมื่อนานมาแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยถามใครจนได้ข้อพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมคิดนั้นจริงๆรึเปล่า...
ดาวบนท้องฟ้ามองจากยอดเขาสะแกกรัง
        ผมรู้สึกว่าปัจจุบันนั้นการหาที่ดูดาวดีๆซักที่มันยากขึ้นทุกวัน เพราะไฟฟ้ามีอยู่ทั่วไปแม้กระทั่งในชนบท แสงไฟจากหลอดไปตามบ้านเรือนหรือท้องถนนนั้นบดบังแสงดาวจากท้องฟ้าไปเกือบหมด เหลือแค่ดาวที่แน่จริงๆเท่านั้นถึงจะเอาชนะความสว่างของหลอดไฟได้ ผมว่ามันเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากๆ การดูดาวนั้นเป็นกิจกรรมที่ให้ความสุขเราได้อย่างหนึ่ง อาจจะได้ให้พรด้วยถ้าบังเอิญโชคดีเห็นดาวตก ผมว่าถ้าเรารู้จักเปิดปิดไฟให้เป็นเวลา ใช้ความสว่างของหลอดไฟให้เป็น เราแทบไม่ต้องไปหาที่ดูดาวไกลๆเลย บนตึกในกรุงเทพฯก็ดูได้ ก็บางตึกเล่นสูงซะขนาดนั้น ^^
ดาวบนพื้นดิน
        แสงไฟจากหลอดนีออน มันก็สวยดี แต่ผมว่ามันสู้แสงดาวไม่ได้ ถึงแสงดาวที่เราเห็นจากท้องมันจะเป็นอดีตกว่าแสงไฟที่มาจากหลอดนีออน แต่ผมว่าบางทีการดูอดีตก็ให้ความสุขเราได้ดีกว่าดูปัจจุบัน...
เรือนแพในลำน้ำสะแกกรัง
        วันที่สองของการเดินทาง อาจารย์ยงยุทธพาเรามาดูบ้านเรือนแพ ในลำน้ำสะแกกรัง น่าอยู่มากครับ แต่ปัจจุบันเรือนแพเหลืออยู่น้อยแล้วเพราะไม่มีไม้ไผ่ที่ใช้สร้างและใช้ซ่อม ผมว่าอีกไม่นานคงไม่มีเรือนแพให้เราเห็นอีก คนไทยเรานับวันยิ่งห่างเหินจากสายน้ำขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆที่เมื่อก่อนคนแถวภาคกลางนั้นผูกพันกับแม่น้ำเอามากๆ เรื่องนี้ผมเคยสงสัยอยู่พักใหญ่ เพราะผมเป็นคนภาคใต้ เท่าที่ผมรู้สึก ตั้งแต่ผมเกิดมา ผมไม่ค่อยผูกพันกับแม่น้ำซักเท่าไหร่ พอได้ยินใครๆเล่าให้ฟังว่าคนไทยเราผูกพันกับแม่น้ำ ผมเลยสงสัยในตัวเองว่าผมเป็นคนไทยหรือเปล่า ฮ่าๆ ตอนนี้ผมเข้าใจว่าคนไทยที่พวกเค้าหมายถึง คงเป็นคนแถวภาคกลางกระมัง... แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ชื่นชอบวิถีชีวิตแบบนี้ การปรับตัวเข้าหาธรรมชาติผมว่ามันง่ายกว่าการไปบงการธรรมชาติ เหมือนการเปลี่ยนตัวเองง่ายกว่าการเปลี่ยนผู้อื่น คนเราอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีธรรมชาติ การทอดทิ้งธรรมชาติก็เหมือนการทอดทิ้งอนาคตของเราเอง...

Comments

Popular posts from this blog

"เรือนไทย" มหิดลศาลายา

ตรามหาวิทยาลัยมหิดล

วันเคียงที่เชียงดาว ตอนที่ 1