ตรามหาวิทยาลัยมหิดล


ตรามหาวิทยาลัย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2512
สีน้ำเงินแก่
สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (พระยศในขณะนั้น) พระราชทานเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2512
สนใจอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:http://www.mahidol.ac.th/muthai/logo_mu.htm

        สถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีสำหรับพวกเราชาวมหิดล "ลาน ม." หรือ "ลานพระราชบิดา" เป็นสถานที่นึงในมหิดลวิทยาเขตศาลายาที่ผู้คนชอบมาถ่ายรูปกัน ตอนผมเข้ามาปีหนึ่งไม่ได้สวยงามขนาดนี้ ผมก็จำไม่ได้แล้วว่าเป็นยังไงในตอนแรก แต่ภายหลังได้รับการปรับปรุง ตราสัญลักษณ์ได้ถูกทาสีใหม่ สวยขึ้นเป็นกอง แต่ถึงภายนอกจะเปลี่ยนไป แต่ผมเชื่อว่าภายในนั้นยังคงเอกลักษณ์ของความเป็นมหิดลเอาไว้ ผมชอบท่อนนึงของเพลง เทิดพระนามมหิดลมาก เหมือนที่ใส่ไว้ในรูป "อัตตานัง อุปมัง กเร เราจะทุ่มเทพลังกายใจ เพื่อสนองพระบาทไท้ พระทรงมุ่งใจตั้งปณิธาน" ทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ จะมีแรงบันดาลใจ และกำลังใจเกิดขึ้นเสมอ และรู้สึกขนลุกทุกครั้ง ผมไม่ค่อยทราบพระราชประวัติของพระองค์ท่านมากนัก แต่เท่าที่รู้คือพระองค์ท่านทรงเสียสละอย่างมากเพื่อการสาธารณสุขของประเทศไทย พระองค์ท่านทรงเป็นแบบอย่างที่ดีให้พวกเราชาวมหิดลทุกคน และพระราชดำรัสของพระองค์ท่านยังคงติดอยู่ในใจผมเสมอมา

                                              "ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตน           เป็นที่สอง
                                               ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์           เป็นกิจหนึ่ง
                                                ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ           จะตกแก่ท่านเอง
                                                ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้    ให้บริสุทธิ์"
                                                                                                                                                                  
                                                                      สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

        
วันนี้ผมยอมรับว่ายังไม่สามารถปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ท่านได้ดีนัก แต่จิตสำนึกของผมนั้นยังหนักแน่น ทุกครั้งที่ได้ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น ผมสังเกตุว่ามันจะรู้สึกมีความสุข มีความปิติยินดี เกิดขึ้นภายในจิตใจ ผมว่านั่นก็เป็นผมตอบแทนที่คุ้มค่าแล้ว ยิ่งเราทำความดีมาก เราก็จะยิ่งปิติมาก นั่นหมายความว่าเราต้องรู้จักสังเกตุด้วย สังเกตุให้เห็นถึงผลดีของการที่เราได้ทำความดี หลายคนที่ทำความดีแล้วมองไม่เห็นถึงผลดีของตัวเองทำ มักบ่นว่าทำไปก็ไม่ได้อะไร ซึ่งผมก็มักจะบอกเขาไปเสมอว่า ได้สิ มันเกิดขึ้นตรงหน้าพวกคุณนั่นไง มองไม่เห็นเหรอ ผมเข้าใจว่า เค้าก็คงเห็น แต่มันอาจไม่ใช่ในแบบที่พวกเค้าต้องการ บางทีเราอาจจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดของเราซะใหม่ ให้รู้จักพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่ตัวเองมี เราจะได้มีความสุขกับสิ่งที่เราทำ ไม่ต้องไปคาดหวังอะไรมาก ผมว่าการได้มีชีวิตอยู่นั้นก็มีความสุขมากแล้ว ^^

Comments

Popular posts from this blog

"เรือนไทย" มหิดลศาลายา

วันเคียงที่เชียงดาว ตอนที่ 1